วันอังคารที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

365 ปี ประวัติของปินโต




ประวัติของปินโตปิน โตเป็นชาวโปรตุเกส เกิดในครอบครัวยากจน เขาออกเดินทางผจญภัยไปที่เมืองดิว ประเทศอินเดีย เอธิโอเปีย จีน อาณาจักรของชาวตาร์ตาร์ โคชินไสนา สยาม พะโค ญี่ปุ่น และหมู่เกาะอิยเดียตะวันออก ปัจจุบันคือน่านน้ำอินโดนิเซียเมื่อ เขาเดินทางกลับมาที่โปรตุเกส จึงเขียนหนังสือชื่อว่า "Peregrinacao" และถูกตีพิมพ์

จากที่เขาถึงแก่กรรม เมื่อวันที่ ๘ กรกฎาคม ค.ศ. ๑๕๘๓งาน เขียนของเขาได้รับการตีพิมพ์ครั้งแรก เมื่อ ค.ศ. ๑๖๑๔ และแปลเป็นภาษาต่างๆ เช่น ภาษาฝรั่งเศส ภาษาอังกฤษ ใน ค.ศ. ๑๙๘๓ กรมศิลปากรได้เผยแผ่บันทึกของปินโตในบางส่วน ชื่อว่า " การท่องเที่ยวผจญภัยของแฟร์นังด์ มังเดซ ปินโต ค.ศ. ๑๕๓๗ - ๑๕๕๘ " แปล โดย สันต์ ท. โกมลบุตร ต่อมา กรมศิลปากร ร่วมกับ กรมวิชาการกระทรวงศึกษาธิการ ได้ตีพิมพ์ผลงานบางส่วนของเขาออกเผยแผ่อีกครั้ง ในปี ค.ศ.๑๙๘๘ โดยแปลจากหนังสือชื่อ " Thailand and Portugal : ๔๗๐ Years of Friendship"คุณค่าทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับราชอาณาจักรสยามบัน ทึกของปินโต นับเป็นเอกสารสำคัญที่กล่าวถึง เรื่องราวที่เกี่ยวกับ ทรัพยากรการ ทหารวัฒนธรรมประเพณี ความเชื่อกฎหมาย และเรื่องราวในราชสำนักสยาม กลางคริสต์ศตวรรษที่๑๖และมักจะถูกอ้างอิงเสมอ


เมื่อกล่าวถึงบทบาททางการทหารของชุมชนโปรตุเกส ในรัชสมัยสมเด็จพระไชยราชาธิราช (ค.ศ. ๑๕๔๓ - ๑๕๔๖) เมื่อเกิดศึกระหว่างสยาม กับเชียงใหม่ขึ้นใน ค.ศ. ๑๕๔๗ (พ.ศ. ๒๐๙๑) เรื่อง ราวในหนังสือ "Peregrinacao" สอดคล้องกับงานเขียน ของนักประวัติศาสตร์ชาวโปรตุเกสหลายคน เช่น การกล่าวถึง โดมิงกุส ดึ ไซซัส ซึ่งเคยถูกจองจำ และรับราชการเป็นนายทหารในกรุงศรีอยุธยา ก็ได้รับการยืนยันในงานเขียน ของจูอาว เดอ บารอสเช่นกัน เป็นต้นนัก เขียนทั้งหลายต่างก็พากันเห็นว่า

งานนิพนธ์ของปินโตมีคุณค่าในทางประวัติศาสตร์ แม้เนื้อหาบางตอนจะดูตื่นเต้นเร้าใจ เกินกว่าความเป็นจริง ตามทัศนะของนักประวัติศาสตร์ ข้อถกเถียงในงานของปินโตอาจจะมีอยู่ไม่น้อย แต่หลักฐานประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่แล้ว มักจะมีคำถามและข้อสงสัยต่างๆในหลักฐานนั้นงานของปินโตถูกตั้งข้อ สงสัย เกี่ยวกับความแม่นยำของศักราชเพราะบันทึกของเขา เป็นเอกสารที่เขียนขึ้นจากความทรงจำ เมื่อเขาเดินทางกลับไปใช้ชีวิตอยู่ในโปรตุเกสระยะหนึ่ง



คุณค่าทางประวัติศาสตร์

บันทึกของปินโตนับเป็นเอกสารที่สำคัญ ที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับ ทรัพยากร การทหาร วัฒธรรม ประเพณี ความเชื่อ กฎหมายและเรื่องราวต่าง ๆ ในสยามตอนกลาง
เรื่องราวในหนังสือ สอดคล้องกับงานเขียนของนักประวัติศาสตร์ชาวโปรตุเกสหลายคน อาทิ โดมิงกุส ดึ ไซซัส ที่เคยถูกจองจำและรับราชการทหารในกรุงศรีอยุธยา




ที่มา : เอกสารประกอบคำสอนวิชา อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
Lecture บทที่ 6 ที่พักแรม

ความเป็นมาของธุรกิจที่พักแรมในต่างประเทศใน ทวีปยุโรปและอเมริกา
ที่พักแรมเกิดจากความต้องการของนักเดินทางที่ไม่มีที่พักอาศัย ไม่สามารถไป-กลับได้ ในเวลาหนึ่งวัน รูปแบบที่พักพัฒนาตามความเจริญของเศรษฐกิจ ระบบขนส่งคมนาคมยุคแรกของที่พักแรมนั้น ให้เพื่อบริการการพักผ่อนเท่านั้น ต่อมากลายเป็น Coaching Inn ที่พักตามเส้นทางถนนและได้รับความนิยมในประเทศอังกฤษ๓ ศตวรรษที่ ๑๘ รูปแบบที่พักได้เจริญเติบโตขึ้น
บริเวณสถานีปลายทางและเมืองท่า มีการออกแบบให้เป็นโรงแรมรถไฟ (Railway Hotels) ช่วยให้นักท่องเที่ยวเข้าถึงเมืองตากอากาศได้สะดวกมากขึ้น ที่พักแบบตากอากาศ หรือรีสอร์ท (Resort) จึงขยายตัวมากในยุโรปและอเมริกา

Hotelโรงแรม (Hotel) เป็นประเภทธุรกิจที่พักแรมในปัจจุบัน คำว่า Hotel มาจากภาษาฝรั่งเศส ดังนั้น แบบแผนการดำเนินงานการโรงแรมมาตรฐานสากลส่วนใหญ่ ล้วนมีต้นแบบจากประเทศในยุโรปและอเมริกากลุ่มโรงแรมที่สำคัญ ได้แก่ Intercontinental, Holiday Inn, Marriott, Sofitel, Hilton, Conrad, Sheraton, Hyatt, Le Meridien เป็นต้น



ความเป็นมาของธุรกิจที่พักแรมในประเทศไทย

สมัยอยุธยาเพื่อบริการพ่อค้า ทูต ผู้เผยแพร่ศาสนา บริเวณวัดเสาธงทองตั้งอยู่ระหว่างพระนารายณ์ราชนิเวศน์ ต.ท่าหิน อ.เมือง จ.ลพบุรี พระวิหารเดิมสร้างขึ้นเพื่อเป็นสุเหร่า ตามแผนที่ของฝรั่งเศสระบุว่า เป็นที่พักของชาวเปอร์เซียสมัยรัตนโกสินทร์เพื่อบริการนักเดินทางชาวตะวันตก อยู่บริเวณริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีชาวตะวันตกเข้ามาจำนวนมาก ในปี พ.ศ. ๒๔๐๖ ถนนเจริญกรุงตอนใต้จึงเป็นย่านที่พักของชาวตะวันตกในกรุงเทพฯยุคแรก


กิจการโรงแรมที่สำคัญในอดีตของประเทศไทย





1) โอเรียนเต็ลโฮเต็ล สร้างในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยกลาสีเรือชาวต่างชาติ เป็ยเพียงอาคารไม้ชั้นเดียว ปัจจุบัน กลายเป็นโรงแรมมาตรฐานสากลชั้นนำแห่งหนึ่ง








2) โฮเต็ลหัวหิน หรือ โรงแรมรถไฟหัวหิน สร้างในสมัยพระ บาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงจัดให้บริการตามแบบโฮเต็ลในยุโรป ต่อมาให้เอกชนปรับปรุง และเช่าดำเนินกิจการ เป็นโรงแรมโซฟิเทลหัวหิน ปัจจุบัน กลายเป็นโรงแรมมาตรฐานสากลชั้นนำแห่งหนึ่ง



3) โฮเต็ลวังพญาไท สร้างในสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยปรับปรุงจากพระราชวังพญาไท(เคยเป็นที่ประทับของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว) ใช้เป็นที่รับรองแขกเมือง ปัจจุบันได้รับการบูรณะให้งดงาม ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานสำคัญ ตั้งอยู่บริเวณโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า




4) โรงแรมรัตนโกสินทร์ สร้างในสมัยพระบาทสมเด็จพระอานันทมหิดล บนถนนราชดำเนินกลางใกล้สะพานผ่านพิภาพลีลา ใช้รับรองแขกเมืองสำคัญ และเป็นที่ชุมนุมของชาวสังคมยุคนั้น ต่อมาให้เอกชนเช่าดำเนินการเปลี่ยนชื่อเป็น โรงแรมรอยัล ปัจจุบันยังดำเนินกิจการอยู่กลุ่มโรงแรมภายในประเทศไทยที่สำคัญ ได้แก่ กลุ่มดุสิตธานี, เซ็นทรัล, อมารี, อิมพีเรียลพระราชบัญญัติโรงแรม ฉบับปี พ.ศ. ๒๕๔๗ ได้ระบุว่า "โรงแรม" คือ สถานที่ที่พัก จัดขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อทางธุรกิจ ให้บริการที่พักชั่วคราวสำหรับคนเดินทาง โดยมีค่าตอบแทนและไม่คิดเป็นรายเดือน



ปัจจัยพื้นฐานในการบริการที่พักแรม

1. ความปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สินของผู้ำพัก

2. ความสะอาดและสุขอนามัยในสถานที่พัก

3. ความสะดวกสบายจากบริการสิ่งอำนวยความสะดวก และตอบสนองความต้องการของผู้พัก

4. ความเป็นส่วนตัว

5. บรรยากาศตกแต่งสวยงาม

6. ภาพลักษณ์ของกิจการ และอื่นๆ

แผนกงานในโรงแรม

1. แผนกงานส่วนหน้า เป็นศูนย์กลางการติดต่อระหว่างโรงแรมและแขกผู้พัก

2. แผนกงานแม่บ้าน การจัดเตรียมห้องพักแขก ทำความสะอาดในพื้นที่ต่างๆ ซีกรีด จัดดอกไม้

3. แผนกอาหารและเครื่องดื่ม รับผิดชอบเรื่องอาหารและการบริการอาหาร เครื่องดื่ม


4. แผนกขายและการตลาด รับผิดชอบวางแผนตลาดเพื่อสร้างรายได้แก่ธุรกิจ

5. แผนกบัญชีและการเงิน ดูแลจัดทำบัญชีและควบคุมการเงินของโรงแรม

6. แผนกทรัพยากรมนุษย์ ในบางกิจการขนาดเล็ก จะเป็นแผนกบุคคล




ประเภทห้องพัก





1. ห้องพักสำหรับนอนคนเดียว ในต่างประเทศ จะเป็นห้องพักเตียงเดี่ยว


2. ห้องพักเตียงคู่แฝด ประกอบเตียงเดี่ยว ๒ เตียง ตั้งเป็นคู่วางแยกกัน




3.ห้องพักเตียงคู่ที่เป็นเตียงเดียวขนาดใหญ่ สำหรับนอนได้ ๒ คน บางครั้งให้บริการแก่ผู้พักที่มาคนเดียว เพื่อความสะดวกสบายยิ่งขึ้น


4.ห้องชุดที่ภายในประกอบด้วยห้องตั้งแต่ ๒ ห้องขึ้นไปโดยกั้นเป็นสัดส่วนแบ่งเป็นห้องนอนและห้องนั่งเล่น ในโรงแรมมาตรฐานชั้นดีตามแบบสากลมักมีห้องชุดที่ตกแต่งสวยงาม บริการในอัตราราคาสูง





ที่มา : เอกสารการสอนวิชา อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
Lecture บทที่ 5 การคมนาคมขนส่ง



การคมนาคม (Transportations) คือ กระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนย้าย คน สัตว์ สิ่งของ จากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง โดยอาศัยสื่อกลางต่างๆ ภายใต้ราคาที่ตกลงกันไว้การคมนาคม ประกอบด้วย



1) เส้นทาง (Way) แบ่งเป็น- เส้นทางธรรมชาติ- เส้นทางธรรมชาติปรับปรุง- เส้นทางที่มนุษย์สร้างขึ้น


2) สถานี (Terminal) คือ สถานที่ให้บริการแก่ยานพาหนะ ตามความต้องการเฉพาะด้าน














ประเภทของธุรกิจการคมนาคมขนส่งเพื่อการท่องเที่ยว

1. ธุรกิจการขนส่งทางบก


เกิดจากการใช้แรงงานคนในการลากเกวียน ต่อมาเปลี่ยนเป็นใช้แรงงานสัตว์ แล้วจึงเกิดการประดิษฐ์รถม้าขึ้นในปี ค.ศ. ๑๔๘๐ ที่ประเทศอังกฤษต่อมาในปี ค.ศ. ๑๙๒๐ ได้ประดิษฐ์รถยนต์ขึ้น จึงเกิดการทำเส้นทาง และยุคของเครื่องจักรไอน้ำ ในปี ค.ศ. ๑๘๒๕ เกิดการประดิษฐ์รถไฟขึ้นในประเทศไทย เริ่มมีรถลากเกวียนในสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรถไฟเป็นที่นิยมมาก ในยุโรป เช่น รถไฟ TGV ประเทศฝรั่งเศส , รถไฟ Eurostar รัฐบาลฝรั่งเศสและอังกฤษ Metroline ประเทศสวีเดน , เอเชีย เช่น รถไฟ Shinkansen ประเทศญี่ปุ่นรถยนต์ส่วนบุคคล นิยมมากเนื่องจาก ประหยัดถ้าโดยสารได้หลายคน สะดวก รวดเร็ว คล่องตัวรถเช่า ที่ประเทศอังกฤษและประเทศสหรัฐอเมริกา นิยมเช่าเพื่อการเจรจาธุรกิจและท่องเที่ยวรถตู้เพื่อนันทนาการนิยมมากในทวีปอเมริกาและยุโรป เพราะรถตู้ได้ถูกออกแบบคล้ายบ้าน ทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายระหว่างเดินทางรถโดยสาร เนื่องจากมีราคาที่ประหยัด ทำให้ผู้โดยสารนิยมใช้บริการ ยกเว้นในยุโรป



ภาพการขนส่งทางบกในสมัยก่อน


2. ธุรกิจการขนส่งทางน้ำเกิด


จากการใช้ท่อนไม้มาต่อเป็นแพ และต่อมาก็ได้นำต้นไม้ทั้งต้นมาขุด เป็นลำเรือโดยมีรูปร่างคล้ายตะกร้าลอยน้ำ หลังจากนั้น ได้มีการพัฒนา นำหนังสัตว์มาขึงโครงไม้ทำเป็นเรือ เรียกว่า เรือหนังสัตว์




ภาพการขนส่งทางน้ำสมัยก่อน

ประเทศไทย การขนส่งทางน้ำเริ่มจากการใช้เรือทำการประมง และขนส่งสินค้าภายในประเทศ ต่อมาการค้าขยาย ก็ได้รับรูปแบบวิธีการต่อและเดินเรือมาจากประเทศจีนเรือเดินทะเลจะ ให้บริการเฉพาะเมืองท่าที่สำคัญ เช่น เรือควีนอลิซาเบธที่ ๒ ให้บริการระหว่างเมืองเซาท์แฮมตัน ประเทศอังกฤษ กับนิวยอร์ค ประเทศสหรัฐอเมริกาเรือสำราญ คล้ายโรงแรมลอยน้ำ ให้ความสะดวกสบาย หรูหรา มีบริการห้องพัก ห้องประชุมเรือข้ามฟากใช้สำหรับเดินทางในระยะสั้นๆเรือใบและเรือยอร์ชเป็นเรือขนา่ดเล็ก-กลาง เคลื่อนที่โดยลมปะทะกับใบเรือ หรือแล่นโดยเครื่องยนต์เรือบรรทุกสินค้าเป็นเรือที่ส่งสินค้าและให้บริการแก่นักท่องเที่ยวที่ไม่เร่งรีบ มีห้องพักเหมือนเรือสำราญ แต่ราคาถูกกว่า รับผู้โดยสารได้ประมาณ ๑๒ คน


3.ธุรกิจการขนส่งทางอากาศ

เกิดขึ้นครั้งแรก ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ ในปี ค.ศ. ๑๙๐๓ พี่้น้องตระกลูWrightได้คิดค้นประดิษฐ์เครื่องบิน และออกบินทางด้านธุรกิจครั้งแรก ในปี ค.ศ. ๑๙๑๙ ระหว่างเมืองLondonและเมืองParis

ภาพธุรกิจขนส่งทางอากาศ


แต่เกิดการขนส่งผู้โดยสารครั้งแรก ในปี ค.ศ. ๑๙๒๗ ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยบินระหว่างเมืองBostonและเมืองNewYork จนกระทั่งในปี ค.ศ. ๑๙๓๕ ได้เริ่มจ้างพนักงานบนเครื่องบินขึ้นการบินเที่ยวบินประจำแบ่งออกเป็น ๒ ประเภท คือ

1) เที่ยวบินประจำภายในประเทศ

2) เที่ยวบินประจำระหว่างประเทศการบินเที่ยวบินไม่ประจำเป็นการบินเสริมนอกตาราง สามารถรับ-ส่ง ผู้โดยสารทั่วไปได้ นิยมมากในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวการบินเที่ยวบินเช่าเหมาลำเป็นการบินให้บริการแก่องค์กร กลุ่มนักท่องเที่ยว


ที่มา : เอกสารคำสอนวิชา อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
Lectureบทที่ 4 องค์ประกอบสำคัญของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว

แหล่งท่องเที่ยว เป็นปัจจัยหลักที่ช่วยส่งเสริมอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ซึ่งมีคำจำกัดความ ๓ คำที่จำเป็นต่อการศึกษาแหล่งท่องเที่ยว
1) ทรัพยากรทางการท่องเที่ยว (Tourism Resources) คือ สิ่งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ หรือมนุษย์สร้างขึ้น ทั้งในรูปธรรมและนามธรรม นำไปใช้เพื่อเกิดการพักผ่อน การประกอบกิจกรรมนันทนาการ นำไปสู่ความพอใจและความสุขในแบบต่างๆ

2) จุดหมายปลายทาง (Destination) คือ สถานที่ๆใดที่หนึ่ง เป็นที่เฉพาะ หรือทั่วไป หรือหลายๆที่ ต่อการเดินทางครั้งหนึ่ง


3) สิ่งดึงดูดใจทางการท่องเที่ยว (Tourist Attraction) คือ สถานที่ที่มีศักยภาพดึงดูดคนไปเยี่ยมชม หรือ ประกอบกิจกรรมนันทนาการดังนั้น แหล่งท่องเที่ยว คือ สถานที่ๆเกิดจากธรรมชาติ หรือ มนุษย์สร้างที่มีศักยภาพดึงดูดนักท่องเที่ยวเข้ามาเที่ยว เพื่อตอบสนองความพึงพอใจ หรือประกอบกิจกรรมนันทนาการ





ประเภทของแหล่งท่องเที่ยว

1. จุดมุ่งหมายหลัก คือ สถานที่ที่ดึงดูดให้นักท่องเที่ยวมุ่งตรงไปยังสถานที่นั้น

2. จุดมุ่งหมายรอง คือ สถานที่ที่นักท่องเที่ยวแวะพัก หรือเยี่ยมชมระหว่างทางในเวลาสั้นๆ

- ความเป็นเจ้าของ คือ ผู้ที่ดูแลแหล่งท่องเที่ยว ได้แก่ รัฐบาล เอกชน องค์กรที่ไม่หวังผลกำไร

- ความคงทนถาวร คือ การแบ่งตามอายุของแหล่งท่องเที่ยว ได้แก่ ที่เป็นสถานที่ ที่เป็นเทศกาล



ศักยภาพในการดึงดูดนักท่องเที่ยว

สิ่งที่สามารถสนองความต้องการของนักท่องเที่ยว ซึ่งการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ได้แบ่งแหล่งท่องเที่ยวออกเป็น ๓ ประเภท คือ





1) แหล่งท่องเที่ยวที่เป็นธรรมชาติ คือ ที่ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติทั้งชีวภาพและกายภาพ รวมบริเวณที่มนุษย์เข้าไปปรับปรุงแต่คงสภาพธรรมชาติเอาไว้ เช่น ภูเขา น้ำตก ทะเล น้ำพุร้อน สวนสัตว์เปิด อุทยานแห่งชาติ เขื่อน อ่างเก็บน้ำ เป็นต้น








2) แหล่งท่องเที่ยวที่มนุษย์สร้างขึ้น คือ ที่ที่มนุษย์สร้างขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์ อายุ และรูปแบบสถาปัตยกรรมต่างกันออกไป ได้แก่ ศาสนสถาน โบราณสถาน โบราณวัตถุ และสิ่งก่อสร้างอื่นๆในประเทศไทย กรมศิลปากรได้แบ่งโบราณสถานออกเป็น ๗ ประเภท

ด้แก่1. โบราณสถานสัญลักษณ์แห่งชาติ คือ ที่ที่มีความสำคัญสูงสุด หากไม่มีจะเกิดความสูญเสียอย่างมาก เช่น พระบรมมหาราชวัง พระธาตุดอยสุเทพ



2. อนุสาวรีย์แห่งชาติ คือ อนุสรณ์ที่สร้างเพื่อบุคคล หรือเรื่องราวสำคัญในประวัติศาสตร์

3. อาคารสถาปัตยกรรมแห่งชาติ คือ อาคารสิ่งก่อสร้างทางสถาปัตยกรรมและวิศวกรรมที่มีคุณค่าอย่างสูงทางศิลปะ เช่น พระที่นั่งอนันตสมาคม

4. ย่านประวัติศาสตร์ คือ พื้นที่ที่มีความหนาแน่นของสถาปัตยกรรมเรื่องราวทางประวัติศาสตร์


5. อุทยานประวัติศาสตร์แห่งชาติ คือ พื้นที่ที่มีสถาปัตยกรรม วิศวกรรม สิ่งแวดล้อมตามธรรมชาติ หรือมนุษย์สร้างที่มีเนื้อหาทางประวัติศาสตร์ เช่น อุทยานประวัติศาสตร์อยุธยา

6. นครประวัติศาสตร์แห่งชาติ คือ เมืองที่มีแบบอย่างทางวัฒนธรรม เช่น อยุธยา


7. ซากโบราณสถานและแหล่งโบราณคดีประวัติศาสตร์แห่งชาติ คือ แหล่งโบราณคดีประวัติศาสตร์และซากโบราณ ที่เป็นหลักฐานทางประวัติศาตร์ที่สำคัญของชาติ เช่น โบราณสถานเวียงกุมกาม๓) แหล่งท่องเที่ยวที่เป็นศิลปวัฒนธรรม ประเพณี และกิจกรรมของผู้คนในท้องถิ่น คือ ที่ที่มีแบบอย่างการดำเนินชีวิต ความเชื่อ กิจกรรมต่างๆที่สืบทอดกันมา เป็นแบบเฉพาะในแต่ละชุมชน เช่น การแห่นางแมว บุญบั้งไฟ สงกรานต์ เป็นต้น


ภาพพิธีการแห่นางแมว
ที่มา : เอกสารคำสอนวิชา อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์

Lectureบทที่3 ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการเดินทางท่องเที่ยว


แรงจูงใจ
แรงจูงใจของนักท่องเที่ยว หมายถึง เครือข่ายทั้งหมดที่กำหนดพฤติกรรมการท่องเที่ยว เป็นแนวคิดทางด้านจิตวิทยาและสังคมวิทยา- พลังทางด้านจิตวิทยา คือ ความต้องการทำสิ่งต่างๆ เช่น อยากว่ายน้ำ อยากปีนเขา- พลังทางด้านสังคมวิทยา คือ ความอยากมีหน้ามีตาในสังคม อยากทันสมัย อยากดูมีระดับ


ทฤษฎีต่างๆที่เกี่ยวกับแรงจูงใจของนักท่องเที่ยว
1. ทฤษฎีลำดับขั้นแห่งความต้องการจำเป็น(Hierarchy Of Needs)ของ Abraham Maslow- Maslow ได้กล่าวไว้ว่า มนุษย์เป็นสัตว์ที่มีความต้องการไม่สิ้นสุด ความต้องการที่เป็นตัวกระตุ้น

2. ทฤษฎีขั้นบันไดแห่งการเดินทาง(Travel Career Ladder)ของLundberg- Lundberg ได้กล่าวไว้ว่า การท่องเที่ยวเกิดจากความต้องการขั้นสูงสุดเพื่อตอบสนอง
- ความต้องการพัฒนาศักยภาพของตนเอง

- ความต้องการพัฒนาบุคลิกภาพ

- ความต้องการทำสิ่งที่้ท้าทาย

- ความต้องการเห็นสิ่งที่แปลกใหม่


แรงจูงใจวาระซ้อนเร้น (Hidden Agenda)ของCrompton มี ๗ ปนระเภท

1. การหลีกหนีจากสภาพแวดล้อมที่จำเจ

2. การสำรวจและการประเมิตนเอง

3. การพักผ่อน

4. ความต้องการเกียรติภูมิ

5. ความต้องการที่จะถอยกลับไปสู่สภาพดั้งเดิม

6. การกระชับความสัมพันธ์ทางเครือญาติ

7. การเสริมสร้างการสังสรรค์ทางสังคม


แรงจูงใจทางการท่องเที่ยวในทัศนะของ Swoarbroke มี ๖ ประเภท


๑. แรงจูงใจทางด้านสรีระ หรือ ทางกายภาพ

๒. แรงจูงใจทางด้านวัฒนธรรม

๓. การท่องเที่ยวเพื่อตอบสนองความรู้สึกบางอย่าง

๔. การท่องเที่ยวเพื่อให้ได้มาซึ่งสถานภาพ

๕. แรงจูงใจในการพัฒนาตนเอง

๖. แรงจูงใจส่วนบุคคล




แนวโน้มของแรงจูงใจของนักท่องเที่ยว

Pearce, Morrison และ Rutledge (๑๙๙๘) ได้่นำเสนอแรงจูงใจของนักท่องเที่ยวไว้ ๑๐ประการ ดังต่อไปนี้. 1.แรงจูงใจที่จะได้สัมผัสสิ่งแวดล้อม

2. แรงจูงใจที่จะได้พบปะกับคนในท้องถิ่น

3. แรงจูงใจที่จะ่เข้าใจวัฒนธรรมท้องถิ่นและประเทศเจ้าบ้าน

4. แรงจูงใจที่เสริมสร้างสัมพันธภาพในครอบครัว

5. แรงจูงใจที่จะได้พักผ่อนในสภาพแวดล้อมที่สบาย

6. แรงจูงใจที่ได้ทำกิจกรรมที่นักท่องเที่ยวสนใจและฝึกทักษะ

7. แรงจูงใจที่จะมีสุขภาพดี

8. แรงจูงใจที่จะได้รับการคุ้มกันและความปลอดภัย

9. แรงจูงใจที่จะได้รับการยอมรับและสถานภาพทางสังคม

10. แรงจูงใจที่จะให้รางวัลแก่ตนเอง



ปัจจัยทางภูมิศาสตร์

ลักษณะภูมิประเทศจะเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของเปลือกโลกซึ่งมีได้ ๒ ลักษณะ ๑) การเปลี่ยนแปลงภายในเปลือกโลก เช่น ภูเขา ภูเขาไฟ ที่เกิดจากการดันตัวของ ความร้อนใต้ผิวโลก ๑.๒ ลักษณะภูมิอากาศ สภาพอากาศที่ แตกต่างกันในแต่ละพื้นที่ จะทำให้เกิดสภาพภูมิประเทศที่สวยงามต่างกัน และดึงดูดนักท่องเทียวต่างถิ่นเข้ามาท่องเที่ยวสถานที่นั้นๆได้มากขึ้น๒. ปัจจัยทางวัฒนธรรมคือ วิถีการดำเนินชีวิตของคนในสังคมและหลักเกณฑ์การดำเนินชีวิต ซึ่งมีการสืบทอดปฏิบัติต่อกันมา อาจมีการเปลี่ยนแปลงตามเวลา ในแต่ละชาติจะมีวัฒธรรมที่แตกต่างกัน การท่องเที่ยวโดยอาศัยปัจจัยทางวัฒนธรรม จะก่อให้เกิดการเรียนรู้วัฒนธรรมต่างๆและเกิดการแลกเปลี่ยน นำไปสู่การเกิดวัฒนธรรมใหม่ๆ ทั้งดีหรือไม่ เกิดขึ้น

๒) การเปลี่ยนแปลงบริเวณผิวโลก เช่น เนินทราย (Sand Dune) ในทะเลทรายเกิดจากลมพัดทรายมากองรวมกันเป็นเนิน



ภาพการเปลี่ยนแปลงของเปลือกโลก



ที่มา : เอกสารคำสอนวิชา อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์

Lectureบทที่ 2 ประวัติศาสตร์การท่องเที่ยวจากยุคเริ่มต้นถึงช่วงหลังสงครามโลก
ครั้งที่ 2



ภาพที่ 1 พระเจ้าฮัมมูราบีของอาณาจักร บาบิโลเนียน


การท่องเที่ยวเพื่อพักผ่อนหย่อนใจสามารถย้อนไปได้ถึงสมัยอาณาจักร บาบิโลเนียน (Babylonian) และอาณาจักรอียิปต์ (Egyptian) หลังฐานที่สนับสนุนการกล่าวอ้างนี้ก็คือ ได้มีการก่อตั้งพิพิธณฑ์โบราณวัตถุ (Historic antiquities)

อาณาจักรอิยิปต์
หลักฐานก็คือได้มีการก่อตั้งพิพิธพัณฑ์โบราณวัตถุ(historic antiquities) เพื่อให้คนทั่วไปได้เข้าขมในนครบาบิโลน ชาวอิยิปต์เมื่อ2600 ปีมาแล้วก็มีการจัดงานเทศกาลด้านศาสนา และได้เคยใรการค้นพบข้อความท นักเดินทางชาวอิยิปต์ได้บันทึกไว้เมื่อ 2000 ปีก่อนคริสตกาลด้วยนักท่องเที่ยวชาวกรีกมีการ เดินทางเมื่อประมาณ 300 ปีก่อนคริสตกาล นิยมเดินทางไปยังที่ที่เชื่อ ว่าเป็นที่สิงสถิตของเทพเจ้าที่ทำการบำบัดรักษา โรค และด้านกีฬาในช่วง 500 ปีก่อนตริสตกาล กรุงเอเธนส์ และมีที่พักแรมประเถทต่างๆ


อาณาจักรโรมัน
ชาวโรมันมีการเดินทางอย่างกว้างขวางตั้งแต่ 3000 ปีก่อนคริสตกาล ซึ่งนิยมเดินทางไปพักร้อนบนภูเขา และพากันไปเที่ยวที่อ่าวเมืองเนเปิล มีการสร้างบ้านพักและวิลล่าที่สวยงาม ชาวโรมันมีอำนาจในการซื้อมากและเป็นนักล่าของที่ระลึกชาติแรกๆของโลก ในสมัยอาณาจักรโรมัน มีทั้งการท่องเที่ยวในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งเป็นการท่องเที่ยวที่ไร้พรมแดนไม่เหมือนในปัจจุบัน ทุกแห่งในตอนนั้นใช้เงินตราของโรมัน ภาษาละตินใช้กันอย่างกว้างขวาง


มัคคุเทศก์และคู่มือนำเที่ยวในยุคต้นๆหนังสือ
คู่มือนำเที่ยวปรากฎขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อ 400 ปีก่อนคริสตกาล ครอบคลุมแหล่งท่องเที่ยวในกรุงเอเธนส์ สปาร์ตา และเมืองทรอย ประกอบด้วยรายชื่อที่พัก หร้อมสัญลักษณ์บอกเกรดของที่พักเหล่านั้น

การท่องเที่ยวในยุคกลาง (ระหว่าง คศ.500-1500)

จากการล่มสลายของอาณาจักรโรมันหรือยุคมืด ช่วงเวลาดังกล่าวเศรษฐกิจตกต่ำ การเดินทางลำบากมากขึ้น อันตรายมากขึ้น วันหยดเริ่มเข้ามามีบทบาทในชีวิตของผู้คน ศาสนาโรมันคาทอลิกเป็นผู้กำหนดวันหยุดพักผ่อนให้กับผู้ คนที่ศรัทธาในศาสนา ซึ่งในปีหนึ่งมีวันหยุดเพิ่มมากขึ้นถึง 33 วัน คนชั้นสูงและกลางนิยมเดินทางเพื่อแสวงบุญและบันเทิงควบคู่ไปด้วย เช่นเมือง Winchester เพื่อขอความช่วยเหลือจากเทพเจ้า ปัญหาคือเจอโจรดักปล้น มัคคุเทศก์จึงต้องทั้งนำทางและปกป้องผู้เดินทางด้วยค่าจ้างจึงแพงมาก เท่ากับครึ่งหนึ่งของเราคาอูฐหนึ่งตัว และเกิดร้านขายของที่ระลึกขึ้น ผลของการเดินทางเพื่อจารีกแสวงบุญ คือ การแสวงบุญ, ความหมายทางด้านจิตใจ, ต้องการให้คนอื่นเห็นความสำเร็จในรูปแบบของที่ระลึก


การพัฒนาการคมนาคมทางถนนในคริสตศตวรรษที่ 17 ถึงต้นศตวรรษที่ 18

การพัฒนารถม้า4ล้อที่มีระบบกันสะเทือนด้วยสปริง ในศตวรรษที่18มีระบบทางด่วน ที่จะต้องจ่ายค่าผ่านทาง คศ.1815 ถนนมีการพัฒนาดีขึ้น หลุมบ่อลดน้อยลงมีการนำยางมะตอยมาใช้ แกรนด์ทัวร์ (Grand Tour) เป็นการท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ในต้นศตวรรษที่18 ผู้คนที่ร่ำรวยมีมากขึ้นทั่วอังกฤษ คนชั้นสูงนิยมส่งลูกชายไปเรียนต่างประเทศพร้อมอาจารย์ประจำ ตัว เรียกว่าการเดินทางแบบแกรนด์ทัวร์ จนในปี คศ.1749 Dr.Thomas Nugent ได้ตีพิมพ์หนังสือคู่มือการท่องเที่ยวชื่อว่า The Grand Tour ซึ่งหนังสือเล่มนี้ส่งเสริมให้เกิดการท่องเที่ยวเพื่อการศึกษามากขึ้น และกลายเป็นความนิยมทางสังคม เมื่อถึงปลายศตวรรษที่ 18 ความนิยมในการเดินทางก็กลายเป็นธรรมเนียมปฎิบัติ


การพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวประเภทที่อาบน้ำแร่
(Spa)เป็น ที่รู้จักกันดีตั้งแต่ในสมัยยุคโรมัน แต่ก็ความนิยมก็ได้ลดลงในยุคหลังๆ จนในปีคศ.1562 Dr.William Turner ได้ตีพิมพ์หนังสือเกี่ยวกับสรรพคุณของน้ำแร่ที่เมือง Bath และอื่นๆในทวีปยุโรปว่ามีสรรพคุณรักษาโรคได้ ทำให้แหล่งน้ำแร่กลายมาเป็นที่นิยมอีกครั้ง การเดินทางไปรับการบำบัดด้วยน้ำแร่ได้กลายมาเป็นสถานภาพทางสังคมอย่างรวด เร็ว ทำให้บ รรดาสถานบำบัดทั้งหลายเปลี่ยนโฉมหน้าจากสถานรักษาสุขภาพไปเป็นสถานที่ เพื่อความเพลิดเพลินแทน เมื่อปลายศตวรรษที่ 18 ยุคเฟื่อฟูของบ่อน้ำแร่ในอังกฤษถูกลดความนิยมลง แหล่งท่องเที่ยวประเภทสปากลายเป็นเมืองของผู้สูงอายุแทน และในขณะเดียวกันธุรกิจประเภทบ้านพักตากอากาศชายทะเลก็ได้รับความนิยมมากกว่าสปา

กำเนิดยุคสถานที่ตากอากาศชายทะเล
ความคิดที่ว่าการอาบน้ำทะเลจะทำให้สุขภาพดีขึ้นเป็นที่ยอมรับกันในตอนต้นของ ทศวรรษที่ 18 ระยะนี้สถานที่ตากอากาศชายทะเลในเกาะอังกฤษก็เริ่มผุดขึ้น เมือง Scarborough เป็นเมืองแรกที่คนนิยมไปบำบัดโรคด้วยน้ำทะเล ซึ่งความนิยมได้เริ่มต้นขึ้นราวทศวรรษที่ 1730 Dr.Richard Russel ได้ตีพิมพ์หนังสือเกี่ยวกับการรักษาโรคด้วยน้ำทะเลขึ้นใน คศ.1752 ทำให้การอาบน้ำทะเลเป็นที่นิยมเพิ่มมากขึ้น นักท่องเที่ยวชาวอังกฤษต้องการสิ่งอำนวยความสะดวกมาก ซึ่งใน ฝรั่งเศสสามารถจัดหาให้ได้ ทำให้จากปี 1880 เป็นต้นไป รถไฟสายสีน้ำเงินก็จัดรถนอนที่หรูหรา นำนักท่องเที่ยวจากปารีสไปสู่ริเวียร์ร่าในทั้ง หน้าร้อนและหน้าหนาว

ปัจจัยที่ส่งเสริมการท่องเทียวในศตวรรษที่ 19

เราสามารถแบ่งได้เป็น 2 กลุ่ม คือ
ปัจจัยที่ส่งเสริมให้เกิดการเดินทาง และปัจจัยที่ดึงดูดให้คนเดินทาง ในการเดินทางนั้นสิ่งที่สำคัญก็คือ เงินและเวลามากพอที่ใช้ในการเดินทางแต่ละครั้งซึ่งในอดีตสองสิ่งนี้ก็เอื้อ เพียงแค่คนบางกลุ่มเท่านั้น และสิ่งที่สำคัญเท่าๆกับเวลาและเงินก็คือ สิ่งอำนวยความสะดวกในการเดินทาง เช่นยานพาหนะที่พวกเขาสามารถจ่ายได้ รวดเร็ว ปลอดภัย สะดวกสบาย ซึ่งทั้งหมดนี้มันพึ่งจะเริ่มมีในครึ่งหลังของศตวรรษที่ 18 ข้อจำกัดอีกอย่างก็คอโรคภัยไข้เจ็บ อัตตราการแลกเปลี่ยนเงินตรา

ยุคของเครื่องจักรไอน้ำ : กำเนิดการเดินทางโดยรถไฟ
ทางรถไฟสายแรกถูกสร้างขึ้นในประเทศอังกฤษปี คศ.1825 ตรงกับมัยรัชกาลที่ 3 ซึ่งมีทางรถไฟเชื่อเมืองใหญ่ๆ และเมืองอุตสาหกรรม และในยุโรปและเกือบทั่วไปในโลก ส่วนใน สหรัฐอเมริกามีบริการรถไฟเริ่มราวทศวรรษ ที่ 1820 และเชื่อมถึงฝั่งตะวันตกเสร็จในปี 1869 ในอังกฤษรถไฟถูกใช้ทั้งการค้าและธุรกิจ Thomas Cook ได้ชื่อว่าเป็นผู้ประกอบการคนแรกที่ได้จัดพาทัวร์สมาชิกของสมาคม เดินทางจาก Leicester ไปยัง Loughborough ในราคา 1 ชิลลิ่งหรือ 5 เพนนี และในปี 1845 เขาก็จัดทัวร์เป็นธุรกิจเต็มรูปแบบ ทำให้คนอื่นจัดตามเขา เขาจะติดต่ออย่างใกล้ชิดกับบรรดาโรงแรมรถไฟ และเขาจะร่วมเดินทางไปกับลูกทัวร์เพื่อลดความกังวลของลูกทัวร์และนำเอา hotel voucher มาใช้เป็นครั้งแรกในปี 1876 และในตอนกลางคริสตศตวรรษที่ 18 การประดิษฐ์กล้องถ่ายรูปก็เป็นผลสำเร็จ ทำให้เดิกการเดินทางเพื่อความมีหน้ามีตา และเก็บหลักฐานที่ตนไปมาให้คนที่ไม่ได้ไปเห็นถึงความสำเร็จของการเดินทาง


ภาพที่ 3 รถไฟ


เรือกลไฟ
บริษัท แรกที่เปิดให้บริการเรือกลไฟระยะไกลคือ Pand O เริ่มเปิดเส้นทางไปยังอินเดียและตะวันออกไกล ประเทศอังกฤษเป็นชาติแรกที่เปิดให้บริการเรือน้ำลึก จึงจัดวาเป็นมหาอำนาจทางการขนส่งทางทะเลในช่วงหลังของศตวรรษที่ 19 แต่ก็มีคู่แข่งในทวีปอเมริกาเหนืออีกหลายบริษัท ในปี คศ.1869 คลองสุเอซได้เปิดให้เรือผ่านเป็นครั้งแรก และใรตนอลกางศตวรรษที่ 20 ความรุ่งเรืองของการเดินเรือก็ลดลงเมื่อมีการเปิดบริการด้านการบิน Thomas Cook


ภาพที่ 4 เรือกลไฟ



การท่องเที่ยวในศตวรรษที่ 20 (1901-2000)ช่วง 50 ปีแรก


สถานที่ตากอากาศในริเวียร่าของฝรั่งเศสเป็นที่นิยมสำหรับนักท่องที่ยวฐานะดี ทศวรรษที่ 1920 เกิดการเดินทางข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก เมื่อรูปแบบการเดินทางเปลี่ยนไปผู้คนนิยมหันมาใช้รถยนต์ส่วนตัวมากขึ้น มีการพัฒนาถนน นำรถบรรทุกที่ขนสัมภาระในสงครามทำเป็นรถโค้ช ซึ่งได้รับความนิยมมากในช่วง 1920 และต่อมาบริษัท Henry Ford ในอเมริกา ผลิตรถยนต์รุ่น Model T ในราคาที่ใครก็เป็นเจ้าของได้ เป็นครั้งแรก ทำให้การเดินทางโดยรถไฟลดน้อยลง และการบินเพื่อการพาณิชย์ได้เริ่มเป็นครั้งแรกในปี 1919 ในทวีปยุโรป สายการบินของอเมริกา Pan American Airways เริ่มบินข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกเป็นครั้งแรกในปี 1930 โดยในระยะแรกเพื่อการขนส่งจดหมายและไปรษณีย์ภัณฑ์ จนหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 พัฒนามากถึงขนส่งผู้โดยสารได้

ภาพที่ 5 สายการบินของอเมริกา Pan American Airways

การท่องเที่ยวหลังสงครามโลกครั้งที่ 2
ผู้คนเริ่มสนใจการเดินทางไปต่างประเทศมากขึ้น การเดินทางที่สำคัญคือการเดินทางระยะไกลด้วยเครื่องบิน การบินเที่ยวแรกเป็นการบินข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกระหว่างนิวยอร์คในอเมริกา กับเมืองปอร์ธสมัธของอังกฤษ ต่อมา Harold Bamberg, Freddie Laker ในปีคศ.1958 ได้มีการนำเครื่องบินไอพ่นโบอิ้ง 707 นับว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทางทางอากาศแบบมหาชนเป็นครั้งแรก และในต้นปี 1970 มีการนำเครื่องบินที่เร็วกว่าเสียง คือ เครื่องบินคองคอร์ดมาใช้ ซึ่งเป็นการร่วมทุนระหว่างอังกฤษและฝรั่งเศส บินระหว่างลอนดอนและปารีสและนิวยอร์ค ใช้เวลา 3 ชั่วโมงครึ่ง ซึ่งเป็นที่นิยมในหมู่นักธุรกิจเท่านั้น ในปีเดียวกันมีการเปิดตัวเครื่องบินเจทบรรจุผู้โดยสารได้ถึง 400 คน และ Thomas Cook ได้จัดทัวร์เหมาลำด้วยเครื่องบิน พานักท่องเที่ยวจากนิวยอร์คไปชิคาโก เพื่อดูการแข่งขันชกมวย นับว่าในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 มีหลากหลายประเทศ ที่นิยมจัดทัวร์



แหล่งอ้างอิงสรุปเนื้อหาบทที่ 2 จากเอกสารคำสอนวิชา อุตสาหรรมการท่องเที่ยว รหัสวิชา HT 201ภาพจาก www.google.com

วันจันทร์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

Lectureบทที่ 1 ความหมาย ความสำคัญของการท่องเที่ยว


ภาพที่ 1 สัญลักษณ์ Thailand Tourism Standard

การเดินทางในลักษณะที่เป็นการเดินทางท่องเที่ยวตามเงื่อนไขสากล(WTO)

1.เป็นการเดินทางจากที่อยู่อาศัยปกติไปยังที่อื่นเป็นการชั่วคราว

2.เป็นการเดินทางด้วยความสมัครใจ

3.เป็นการเดินทางด้วยวัตถุประสงค์ใดๆ ก็ตาม ที่มิใช่เพื่อประกอบอาชีพหรือหารายได้ และในที่ประชุมได้ให้

ความหมายของผู้เดินทางว่า ผู้เยี่ยมเยือน ซึ่งแบ่งเป็น
นักท่องเที่ยว (Tourist)นัก ท่องเที่ยว คือผู้ที่เข้ามาท่องเที่ยว พักอาศัย มาเยือน เป็นการชั่วคราว และมาอย่างน้อย 24 ชั่วโมง โดยจุดประสงค์เพื่อใช้เวลาว่าง ท่องเที่ยว และกิจกรรมนันทนาการกลุ่มนักท่องเที่ยว ได้แก่
-ผู้ที่ไม่มีถิ่นฐาน หรืออยู่อาศัยในสถานที่ที่ไปเยือน
-ผู้ที่มีสัญชาติของประเทศนั้น หรือเป็นคนถิ่นเดิม แต่ไม่ได้อยู่ในสถานที่นั้นแล้ว
-ผู้ที่เป็นลูกเรือ ไม่มีถิ่นพำนัก และพัก ณ สถานที่นั้น มากกว่า 24 ชั่วโมง



นักทัศนาจร (Excursionist)
นักทัศนาจร คือผู้ที่มาเที่ยวเป็นการชั่วคราว และพักอาศัยอยู่ ณ สถานที่นั้นไม่เกิน 24 ชั่วโมง รวมถึงผู้เดินทางโดยเรือสำราญ
กลุ่มนักทัศนาจร ได้แก่
-ผู้โดยสารเรือสำราญหรือเรือเดินสมุทร
-ผู้ที่มาเยือนและจากไป ภายในวันเดียว
1.เพื่อความเพลิดเพลิน พักผ่อน ซึ่งรวมไปถึงการเยี่ยมญาติมิตร อาทิเช่น การไปอาบแดดชายทะเล ไปสนุก2.เพื่อธุรกิจ ควบคู่ไปกับการทำงานแต่ไม่ใช่เพื่อประกอบอาชีพ รวมไปถึงการสัมมนา อาทิ การสำรวจตลาด3.เพื่อวัตถุประสงค์อื่นๆ อาทิ การเดินทางศึกษาธรรมชาติ เผยแพร่ศาสนา รักษาโรคภัยไข้เจ็บ แข่งกีฬาประเภทการท่องเที่ยว แบ่งตามสากลได้3 วิธีใหญ่ๆ

1.ท่องเที่ยวภายในประเทศ ผู้ที่อาศัยในประทเศนั้นและเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศของตน

2.ท่องเที่ยวเข้ามาในประเทศ ผู้ที่อาศัยอยู่ที่อื่นแล้วเดินทางเข้ามาเที่ยวภายในประเทศนั้นๆ

3.ท่องเที่ยวนอกประเทศ ผู้ที่อาศัยอยู่ในประเทศหนึ่งแล้วเดินทางออกไปยังต่างประเทศ



การแบ่งตามลักษณะการจัดการเดินทาง
1.การท่องเที่ยวแบบหมู่คณะ แบ่งออกเป็น-กรุ๊ปเหมา คือ การท่องเที่ยวของคณะที่มีความสัมพันธ์กัน-กรุ๊ปจัด คือ การที่นักท่องเที่ยวไม่มีคสามสัมพันธ์กันทั้งส่วนตัวและการงาน เช่นการซื้อโปรแกรมทัวร์

2.การท่องเที่ยวแบบอิสระ นักท่องเที่ยวจะวางแผนการเดินทางเอง เดินทางโดยลำพัง หรือใช้บริการไกด์นำเที่ยวก็ได้ เช่นการไปเที่ยวเป็นครอบครัว


วัตถุประสงค์ของการเดินทางท่องเที่ยว
1.เพื่อความสนุกสนาน เพลิดเพลิน และพักผ่อน (Holiday) เป็นการท่องเที่ยวเพื่อหลีกหนีความจำเจของชีวิตประจำวัน และเพื่อไปเยี่ยมชมสถานที่ใหม่ๆ รวมไปถึงการเดินทางไปเยี่ยมญาติมิตรด้วย (Visits to Friends and Relatives : VFR)
2.เพื่อธุรกิจ (Business) เป็นการเดินทางที่ร่วมไปกับการทำงาน แต่วัตถุประสงค์หลักคือการประกอบอาชีพ หรือหารายได้จากสถานที่ท่องเที่ยวนั้น และยังรวมไปถึงการเดินทางเพื่อเข้าประชุม สัมมนา ท่องเที่ยวเพื่อเป็นรางวัล และจัดนิทรรศการ MICE (Meetings, Incentives, Conventions and Exhibitions)
3.เพื่อวัตถุประสงค์อื่นๆ เป็นการเดินทางด้วยวัตถุประสงค์เฉพาะ และซับซ้อนมากกว่าการพักผ่อนหรือประชุม เช่น การเดินทางไปศึกษาธรรมชาติ ศิลปวัฒนธรรม ฯลฯ


องค์ประกอบของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว มีองค์ประกอบที่สำคัญ 2 ประการ
1.ที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับนักท่องเที่ยว
2.ที่สนับสนุนกิจกรรมการท่องเที่ยวอุตสาหกรรม การท่องเที่ยว จึงหมายถึง ธุรกิจท่องเที่ยวขนาดใหญ่ ที่ต้องอาศัยแรงงาน การลงทุน เทคนิควิชาชีพเฉพาะ การวางแผน การตลาด แต่คำว่าสินค้าในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวจะเรียกว่า สินค้าที่จับต้องไม่ได้ และไม่เคลื่อนที่ไปหาผู้ซื้อ


องค์ประกอบที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับนักท่องเที่ยว

1.สิ่งดึงดูดใจทางการท่องเที่ยว
2.ธุรกิจการคมนาคมขนส่ง บก น้ำ อากาศ
3.ธุรกิจที่พักแรม
4.ธุรกิจร้านอาหาร
5.ธุจกิจนำเที่ยว มัคคุเทศก์


องค์ประกอบที่สนับสนุนกิจกรรมทางการท่องเที่ยว
1.การจำหน่ายของที่ระลึก
2.การจัดประชุม สัมมนา
3.การบริการข่าวสารข้อมูล
4.การอำนวยความสะดวกด้านความปลอดภัย
5.การอำนวยความสะดวกด้านการเข้าเมือง


ความสำคัญของการท่องเที่ยว



ภาพที่ 2 ทางด้านเศรษฐกิจ


1.สร้างรายได้เงินตราเข้าประเทศ เป็นจำนวนมาก2.การท่องเที่ยวก่อให้เกิดการหมุนเวียนและกระจายรายได้ไปสู่ท้องถิ่น3.การท่องเที่ยวก่อให้เกิดการนำเอาทรัพยากรมาใช้อย่างคุ้มค่า4.การท่องเที่ยวช่วยลดปัญหาการว่างงาน



ภาพที่ 3 ทางด้านสังคมและวัฒนธรรม

1.ทำให้เกิดความสัมพันธ์อันดีงามของมวลมนุษยชาติ
2.มีส่วนในการพัฒนาและยกระดับมาตรฐานชีวิตความเป็นอยู่ของคนในสังคม
3.มีส่วนช่วยในการลดปัญหาสังคม เนื่องจากคนมีรายได้จากการทำงาน
4.ช่วยฟื้นฟู อนุรักษ์วัฒนธรรมสิ่งแวดล้อม สร้างความภูมิใจของศิลปวัฒนธรรม สิ่งแวดล้อม
5.ทำให้คนในสังคมรู้จักใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ เช่นนำผลิตผลในท้องถิ่นมาขายเป็นสินค้าพื้นเมือง ของที่ระลึก


ภาพที่4 ทางด้านการเมือง
1.ส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
2.ส่งเสริมความมั่นคงปลอดภัย และภาพลักษณ์ที่ดีให้แก่ประเทศ




แหล่งอ้างอิงสรุปเนื้อหาบทที่ 1 จาก เอกสารคำสอนวิชา อุตสาหรรมการท่องเที่ยว รหัสวิชา HT 201ภาพ จาก www.google.com